เลือกมหาวิทยาลัยที่ถูกใจได้แล้ว ก็มาเตรียมเอกสารกันค่ะ
ส่วนใหญ่แล้วทุกมหาวิทยาลัย จะต้องการเอกสารสมัครประมาณนี้ค่ะ
1. ใบสมัครทุนCSC (สำคัญมาก จะอธิบายในตอนถัดไปค่ะ)
2. ใบสมัครของมหาวิทยาลัย
(อาจต้อง register เว็บไซต์มหาวิทยาลัย
แล้วกรอกข้อมูลและ print ออกมา หรือเป็นแบบฟอร์มเปล่าๆ ให้ print
ออกมาเขียน ซึ่งแล้วแต่ระบบของแต่ละมหาวิทยาลัย)
3. Transcripts และ
ใบรับรองวุฒิปริญญา (ภาษาอังกฤษ)
4. Study plan และ/หรือ Research plan
5. หนังสือแนะนำตัว จากอาจารย์ระดับรองศาสตราจารย์ขึ้นไป 2 ท่าน
6. สำเนา passport
7. ผลการตรวจร่างกาย (แบบฟอร์ม Physical Examination Record for
Foreigner)
8. ผลการสอบภาษา (ถ้ามี) เช่น IELTS/TOELF หรือ HSK (กรณีเรียนเป็นภาษาจีน)
9. Curriculum vitae (CV) (ถ้ามี)
10. Cover letter
11. List of documents
12. อื่นๆ เช่น ใบเปลี่ยนชื่อ นามสกุล ใบรับรองการทำงาน (ถ้ามี) หรือเอกสารอื่นที่แต่ละมหาวิทยาลัยกำหนด ตามแต่สาขาวิชา
ข้อมูลต่างๆเหล่านี้จะอยู่ในหัวข้อ admission ซึ่งข้อมูลจะเป็นการรับสมัครแบบเดียวกับนักเรียนทั่วไปที่ไม่ได้ขอทุน
เหมือนเรา ซึ่งบางมหาวิทยาลัยที่ขยัน update ข้อมูลมากๆหน่อย
จะอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับทุนต่างๆไว้ให้ด้วย รวมถึงทุนcsc ของเรา รวมถึง deadline สำหรับทุนต่างๆด้วยค่ะซึ่งสำคัญมากค่ะตรงนี้
พวกบรรดาทุนต่างๆจะปิดรับสมัครเร็วกว่าการสมัครของคนทั่วไป เพราะฉะนั้นดูดีๆค่ะ
เดี๋ยวเกินกำหนดรับสมัครทุนนะ
จะเห็นว่าหลายสิ่งต้องใช้เวลาในการจัดเตรียมล่วงหน้าได้ก็ทำไปก่อนเลยค่ะ
เช่น
-
Passport ใครยังไม่มี ก็ไปทำเตรียมไว้เลยค่ะ เพราะต้องกรอกเลขที่
passport ในใบสมัคร
-
Transcripts และ ใบรับรองวุฒิปริญญา เป็นภาษาอังกฤษ
หรือจีน เท่านั้น ให้ไปยื่นเรื่องขอที่มหาวิทยาลัยที่เราจบเลยค่ะ
(บางที่มีแบบขอผ่านเว็บ
และโอนเงินผ่านธนาคารได้ก็สะดวกดีคะ รอรับที่บ้านอย่างเดียว) ใครจะต่อป.เอกก็ต้องมีขอ
ป.ตรี และ ป.โท สำหรับใครยื่นหลายมหาวิทยาลัยก็ขอมาให้เพียงพอ
-
Study plan /
Research plan สำคัญมากค่ะ
ต้องเตรียมเขียนดีๆ เพราะเป็นสิ่งที่อาจารย์จะเห็นภาพรวมในการขอทุนของเรา เราจบอะไรมา
ประสบการณ์การเรียน การทำงานที่ผ่านมา จะเรียนอะไรต่อ สนใจด้านไหน
ทำไมถึงอยากเรียนด้านนี้ มีประโยชน์อะไร จบไปทำอะไร จะเห็นว่ามีความสำคัญมากๆ ซึ่งต้องเขียนให้รู้เรื่อง
อ่านเข้าใจง่าย ค่ะ หากใครเขียนไม่เป็นไม่เข้าใจว่าต้องเขียนอย่างไร ลองไป search
หาตัวอย่างดูค่ะ มีเพียบเลยค่ะ
และขอย้ำว่าอย่าลอกมานะคะ ให้เขียนด้วยตัวเอง เราเอาแค่แนวทางมาดูก็พอค่ะ แล้วให้คนอื่นที่เก่งภาษามากกว่าเราช่วยทบทวนให้ว่า
grammar ผิดไหม อ่านรู้เรื่องหรือเปล่า และไม่ควรจะหลายหน้ามากเกิน สำหรับเราเขียนไป 2 หน้าค่ะ
เขียนเสร็จแล้วก็ให้พี่ๆน้องๆที่รู้จักช่วยดูให้ ก็มีผิด มีคำแนะนำหลายอย่าง
ก็กลับมาแก้กันหลายรอบอยู่ เพราะฉะนั้น ตัวนี้จะใช้เวลามากๆค่ะ เลยอยากให้เตรียมตัวตั้งแต่เนิ่นๆ
อีกอย่างต้องนำไปให้อาจารย์ที่เราจะไปขอให้เขียนจดหมายแนะนำเราดูด้วยว่าเรามีแผนนจะเรียนสาขานี้ แบบนี้ บลาๆๆๆๆ
-
หนังสือแนะนำตัว อันนี้ก็ลำบากค่ะ ต้องกลับไปขออาจารย์ที่เราเคยเรียนด้วย
และอาจต้องร่างจดหมายแนะนำ ไปให้อาจารย์ท่านดูก่อน ปัญหาที่สำคัญกว่าคือ อาจารย์ที่คณะที่เราจบมาหรืออาจารย์ที่รู้จักเราอาจไม่ได้เป็น
รศ. เลยทำให้หา รศ. ไม่ถึง 2 ท่าน ทำไงดีล่ะ? สำหรับเราเองก็ไม่ได้เป็น รศ.ทั้ง 2 ท่าน
ที่ส่งไปเป็น รศ. 1 ท่าน (อาจารย์สมัจป.โท) และ ผศ. 1 ท่าน แต่ ผศ.ท่านนี้เป็น advisor
สมัย ป.ตรี ตรงนี้จากประสบการณ์ที่เคยค้นคว้าข้อมูลของคนก่อนๆที่เคยได้ทุน
บางคนก็ไม่ได้ส่ง รศ. ทั้ง 2 ท่าน ก็จะเคสคล้ายๆกัน ทางจีนก็ไม่ได้ว่าอะไรนะคะ สรุปก็ได้ทุนค่ะ เลยสรุปเอาเองว่าไม่จำเป็นถึงขั้นต้องไปวิ่งหา
รศ.ให้ครบ 2 ท่าน
โดยที่อาจารย์เหล่านั้นไม่รู้จักหรือสอนเราจริงแล้วไปให้ท่านแนะนำให้ก็จะแปลกๆ
เนอะ ขอให้เป็นอาจารย์ที่รู้จักเราจริง มีคุณวุฒิและสอนตรงกับสาขาที่เราสมัครก็ได้ค่ะ
อีกอย่างเรื่องของเวลาก็สำคัญค่ะ
อยากให้เผื่อเวลาพอสมควรค่ะไม่ใช่ไปหาท่านตอนใกล้ๆวันจะส่ง
บรรดาอาจารย์เค้าก็จะยุ่งๆกันพอสมควรนะคะ เห็นใจท่านค่ะ แล้วอย่าลืมนำ Study
plan และ/หรือ Research plan ติดไปให้อาจารย์ท่านดูด้วยนะคะ
จะได้รู้แนวคิดเราและจะได้นำไปเป็นข้อมูลเขียนหนังสือแนะนำตัวให้เราได้ค่ะ
-
ผลการสอบภาษา เตรียมตัวอ่านเตรียมตัวสอบตั้งแต่เนิ่นๆเลย เพราะบางอย่างมีรอบสอบและกว่าจะประกาศผลสอบใช้เวลาร่วม
40-50 วัน เดี๋ยวเอามาส่งพร้อมใบสมัครไม่ทัน สำหรับใครที่ได้สนใจเรียนเป็นภาษาจีน
แต่ไม่มีความรู้พื้นฐานภาษาจีนเลย ก็ไม่จำเป็นต้องมีผล HSK (สำหรับสาขาที่ไม่ใช่ภาษาจีน
) ถ้าได้ทุนจริงๆ ทางจีนจะมีทุนให้เรียนภาษาจีนก่อน 1 ปีค่ะ ก่อนขึ้นชั้นปริญญา
หลายคนยังไม่รู้ภาษาจีนกันสักตัว ก็ยังได้ทุนค่ะ
-
Curriculum vitae (CV) ตรงนี้ทำเผื่อไว้ก็ดีค่ะ ผลการเรียน
ตลอดจนproject งานต่างๆ
ที่เคยทำสมัยเครียน และใครที่ทำงานแล้ว หรือทำงานอยู่เช่นเรา ก็ใส่ผลการทำงานที่ผ่านมา
ใบประกาศเกียรติคุณ ประกาศวิชาชีพที่อาจเกี่ยวข้องกับการเรียน ใส่ไปให้หมดค่ะ
เป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณาเราค่ะ อาจจะได้เปรียบคู่แข่งคนอื่นก็ตรงนี้
-
ผลการตรวจร่างกาย ส่วนมากจะยังไม่ขอค่ะ จะมีบางมหาวิทยาลัยจะขอเลย
ถ้ามหาวิทยาลัยทีเราเลือกสมัครไม่ยังไม่เอาผลตรวจร่างกายก็ยังไม่ต้องตรวจค่ะ
เสียเวลา เสียค่าใช้จ่ายด้วย ไว้ค่อยไปตรวจทีเดียวหลังจากได้ทุนแล้ว
(สำหรับการตรวจควรตรวจที่ร.พ รัฐบาลค่ะ เห็นหลายๆคนบอกว่าทางจีนยอมรับ ร.พ จุฬาเป็นส่วนใหญ่)
ค่าตรวจที่ร.พ รัฐก็จะไม่เกิน 1,500 บาท
รายการตรวจก็จะเป็นไปตามแบบฟอร์ม Physical Examination Record for Foreigner ค่ะ ไปยื่นให้ ร.พ เค้าจะตรวจตามรายการในเอกสารเองคะ
-
Cover & Lists of documents คือ จดหมายนำส่งค่ะ เป็นทางการแปะหน้าเอกสารทั้งหมดที่เราส่งไป
ควรมีชื่อที่อยู่ อีเมล เบอร์โทรเรา
ให้ครบเพื่อการสะดวกของทางจีนในการติดต่อเรา
สำหรับ checklist คืออีกอย่างนึงที่บอกเค้าว่าทีเราส่งเอกสารไปน่ะ
มีอะไรบ้างและมีอย่างละกี่หน้า
**เคล็ดลับเล็กๆน้อยๆ** หากใครเตรียมจะยื่นหลายๆมหาวิทยาลัย เพื่อป้องกันการส่งเอกสารไม่ครบหรือง่ายต่อการเข้าถึงข้อมูล
แนะนำให้ทำตารางใน Excel รวบรวมข้อมูลต่างๆไว้ ว่าแต่ละมหาวิทยาลัยต้องการเอกสารใดบ้าง
ชื่อเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องกับการรับสมัคร ทั้งเบอร์โทร เบอร์แฟกซ์ email ที่อยู่มหาวิทยาลัยสำหรับส่งเอกสาร
website มหาวิทยาลัย
และที่สำคัญคือ deadline ส่งเอกสารการสมัครค่ะ ซึ่งข้อมูลต่างๆเหล่านี้
จะแสดงอยู่ในเว็บไซต์ของแต่ละมหาวิทยาลัย ตอนเราเข้าไปเลือกเราอาจจะเก็บข้อมูลมาทีเดียวเลยเข้า
excel ไว้ทีเดียวเลยก็ได้ค่ะ
พอแค่นี้ก่อนคะ คนอ่านคงเหนื่อยแล้ว เยอะแยะมากมายจริงๆ เห็นแล้วท้อ แต่จะบอกว่าอย่าเพิ่งท้อค่ะ
เราเองก็เป็นแบบนี้แหละตอนทำเอกสาร แถมมาเริ่มเตรียมเอาตอนเดือนกุมภาพันธ์
และต้องส่งไปถึงเมืองจีนเดือนมีนาคม วุ่นวายมว้ากกกกกขนาดไหนลองคิดดู >,<