วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2558

ส่งเอกสารขอทุนไปจีน

จัดเตรียมเอกสารต่างๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เตรียมส่งค่ะ  ตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนของเอกสาร การสะกดคำ ชื่อมหาวิทยาลัยใน proposal หรือที่ต่างๆที่มีการอ้างชื่อมหาวิทยาลัย เนื่องจากบางคนส่งหลายมหาวิทยาลัยและcopy มาก็อย่าลืมแก้ชื่อมหาวิทยาลัยด้วยนะคะ ตรงนี้สำคัญมาก

จากนั้นจัดเรียงเอกสารให้ครบตาม list of documents ใส่แฟ้มให้ดูเรียบร้อย ที่เราทำส่งก็ใช้แฟ้มสันรูดค่ะ ถ้ามหาวิทยาลัยไหนต้องการหลายฉบับ เช่นบอกว่าต้องการ 2 copy เราก็ต้องจัดเตรียมเป็น 3 ชุด แปะบอกให้เรียบร้อยว่าชุดไหนเป็น original ชุดไหนเป็น copy  (อย่าลืมเซ็นรับรองสำเนาถูกต้องด้วยนะคะสำหรับเอกสารทุกอย่างที่ถ่ายเอกสาร)

การส่งเอกสารนั้น ใครใคร่อยากส่งแบบไหนก็ส่งเลยค่ะ อยากจะส่งแบบประหยัด หรือจะส่งแบบเอาเร็วเข้าว่า (เนื่องจากใกล้วันกำหนดปิดรับสมัคร ถ้าถูกหน่อยก็ไปรษณีย์ไทย ลงทะเบียน ems ก็ว่ากันไป แต่สำหรับเราเอง อย่างที่บอกกว่าเอกสารจะเสร็จก็ใกล้ปิดรับสมัครไม่กี่วัน หมดทางเลือก เลยใช้บริการ DHL ส่งวันนี้ถึงพรุ่งนี้ไวดีคะ ตาม track ได้ตลอดว่าเอกสารเราถึงไหนแล้ว ถึงมือผู้รับหรือยัง สะดวกดีคะ แต่…..แพง  พวกนี้คิดค่าบริการขั้นต่ำครึ่งโล และตามระยะทาง ของเราโดนที่ละ 700 กว่าบาท  ส่งไป 3 ที่ โดนไป 2,000 กว่าบาท T T  ที่น่าเจ็บใจกว่านั้น คือ เข้าใจผิดเกี่ยวกับใบสมัคร csc  เนื่องจากใช้ ใบสมัครเดียวกัน ส่งไปทั้ง 3 มหาลัย แต่จริงๆ แล้วต้องคีย์ใบสมัครมหาลัยละ 1 ครั้งค่ะ จะมี serial no. แต่ละละใบสมัครไม่เหมือนกัน  เลยต้องคีย์ใบสมัคร csc แล้วส่งไปใหม่ 2 มหาลัยที่ผิด (เสียเงินค่าไปรษณีย์อีก 1,400 หุหุ) แต่ก็โชคดีที่รู้ทัน ก่อนปิดรับสมัคร เพราะมี 1ใน 2 ของที่ส่งผิด เค้าเมล์มาบอกว่าได้รับเอกสารแล้ว แต่หาไม่เจอในระบบ csc …งานเข้าเลย สืบไปมาได้ความมาว่าต้องสมัคร 3 ครั้ง เพื่อให้ได้ใบสมัครที่มี serial ของแต่ละมหาลัยที่เราส่ง  เพราะ ฉะนั้นดูดีๆนะคะ สำหรับใครที่คิดจะส่งหลายมหาลัย

ทีนี้ส่งไปแล้วก็ตามดู track ตามที่เขาให้มาค่ะ ว่าส่งถึงมือคนรับหรือยัง ถ้าถึงแล้วก็สบายใจค่ะ  จากนั้นถึงเวลาที่ต้องรอๆๆๆ และรอ รออะไรหรอ??  รอความคืบหน้าค่ะ ว่าจะได้ทุนหรือไม่ และกระบวนการคัดเลือกอยู่ที่มหาลัยที่เราส่งไปค่ะ คนที่รับเราเข้าเรียนและเสนอชื่อขอทุนต่อ csc คือมหาลัย  ระหว่างนี้ขอให้หมั่นตรวจสอบเมล์ ตามที่ได้ระบุไว้ในใบสมัคร เพราะส่วนมากเขาจะแจ้งความคืบหน้าต่างๆทางเมล์ค่ะอย่างของเรามหาลัยมีนัดสัมภาษณ์ผ่านทาง skype  ก็จะส่งเมล์มาแจ้งเรื่องวันเวลา ฯลฯ สำหรับบางมหาลัย ก็จะโทรมาแทนก็มีคะ (จากประสบการณ์คนอื่น) ดังนั้น ขอให้หมั่นเช็คเมล์บ่อยๆ หรือ อย่าพลาดรับสายโทรศัพท์เลยได้ยิ่งดี
หลังจากส่งเอกสารและทำตามกระบวนการตามที่มหาลัยแจ้งแล้ว เช่น สัมภาษณ์ /สอบข้อเขียน (บางมหาลัย) ก็รอเลยค่ะ นอนตีพุงรอไปแบบยาวๆๆๆๆๆ ส่วนมากจะประกาศเดือน กรกฎาคมค่ะ อาจเข้าไปดูเว็บมหาลัยที่เราส่ง ว่าประกาศผลหรือยัง บางทีบางมหาลัยไม่ประกาศผล ก็รอต่อไป บางคนรู้อีกทีว่าได้ทุนก็มีเอกสารมาถึงบ้านเลยทีเดียว คิดว่าจะไม่ได้ทุนซะแล้วงี้


พอแค่นี้ก่อนเนาะ เดี๋ยวมาเม้าท์ต่อ..

วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2558

มาเตรียมเอกสารสมัครทุนกัน

เลือกมหาวิทยาลัยที่ถูกใจได้แล้ว ก็มาเตรียมเอกสารกันค่ะ

ส่วนใหญ่แล้วทุกมหาวิทยาลัย  จะต้องการเอกสารสมัครประมาณนี้ค่ะ
1.       ใบสมัครทุนCSC  (สำคัญมาก จะอธิบายในตอนถัดไปค่ะ)
2.       ใบสมัครของมหาวิทยาลัย 
(อาจต้อง register เว็บไซต์มหาวิทยาลัย แล้วกรอกข้อมูลและ print ออกมา หรือเป็นแบบฟอร์มเปล่าๆ ให้ print ออกมาเขียน ซึ่งแล้วแต่ระบบของแต่ละมหาวิทยาลัย)
3.       Transcripts และ ใบรับรองวุฒิปริญญา (ภาษาอังกฤษ)
4.       Study plan  และ/หรือ Research plan
5.       หนังสือแนะนำตัว  จากอาจารย์ระดับรองศาสตราจารย์ขึ้นไป 2 ท่าน
6.       สำเนา passport
7.       ผลการตรวจร่างกาย (แบบฟอร์ม Physical Examination Record for Foreigner)
8.       ผลการสอบภาษา (ถ้ามี) เช่น   IELTS/TOELF หรือ HSK (กรณีเรียนเป็นภาษาจีน)
9.       Curriculum vitae (CV)  (ถ้ามี)
10.    Cover letter
11.    List of documents
12.     อื่นๆ เช่น ใบเปลี่ยนชื่อ นามสกุล ใบรับรองการทำงาน (ถ้ามี) หรือเอกสารอื่นที่แต่ละมหาวิทยาลัยกำหนด ตามแต่สาขาวิชา

ข้อมูลต่างๆเหล่านี้จะอยู่ในหัวข้อ admission ซึ่งข้อมูลจะเป็นการรับสมัครแบบเดียวกับนักเรียนทั่วไปที่ไม่ได้ขอทุน เหมือนเรา ซึ่งบางมหาวิทยาลัยที่ขยัน update ข้อมูลมากๆหน่อย จะอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับทุนต่างๆไว้ให้ด้วย รวมถึงทุนcsc ของเรา รวมถึง deadline สำหรับทุนต่างๆด้วยค่ะซึ่งสำคัญมากค่ะตรงนี้ พวกบรรดาทุนต่างๆจะปิดรับสมัครเร็วกว่าการสมัครของคนทั่วไป เพราะฉะนั้นดูดีๆค่ะ เดี๋ยวเกินกำหนดรับสมัครทุนนะ

จะเห็นว่าหลายสิ่งต้องใช้เวลาในการจัดเตรียมล่วงหน้าได้ก็ทำไปก่อนเลยค่ะ เช่น
-          Passport ใครยังไม่มี ก็ไปทำเตรียมไว้เลยค่ะ เพราะต้องกรอกเลขที่ passport ในใบสมัคร
-          Transcripts และ ใบรับรองวุฒิปริญญา เป็นภาษาอังกฤษ หรือจีน เท่านั้น  ให้ไปยื่นเรื่องขอที่มหาวิทยาลัยที่เราจบเลยค่ะ  (บางที่มีแบบขอผ่านเว็บ และโอนเงินผ่านธนาคารได้ก็สะดวกดีคะ รอรับที่บ้านอย่างเดียว) ใครจะต่อป.เอกก็ต้องมีขอ ป.ตรี และ ป.โท  สำหรับใครยื่นหลายมหาวิทยาลัยก็ขอมาให้เพียงพอ
-          Study plan  / Research plan  สำคัญมากค่ะ ต้องเตรียมเขียนดีๆ เพราะเป็นสิ่งที่อาจารย์จะเห็นภาพรวมในการขอทุนของเรา เราจบอะไรมา ประสบการณ์การเรียน การทำงานที่ผ่านมา จะเรียนอะไรต่อ สนใจด้านไหน ทำไมถึงอยากเรียนด้านนี้ มีประโยชน์อะไร จบไปทำอะไร  จะเห็นว่ามีความสำคัญมากๆ ซึ่งต้องเขียนให้รู้เรื่อง อ่านเข้าใจง่าย ค่ะ หากใครเขียนไม่เป็นไม่เข้าใจว่าต้องเขียนอย่างไร ลองไป search หาตัวอย่างดูค่ะ มีเพียบเลยค่ะ  และขอย้ำว่าอย่าลอกมานะคะ ให้เขียนด้วยตัวเอง เราเอาแค่แนวทางมาดูก็พอค่ะ แล้วให้คนอื่นที่เก่งภาษามากกว่าเราช่วยทบทวนให้ว่า grammar ผิดไหม อ่านรู้เรื่องหรือเปล่า และไม่ควรจะหลายหน้ามากเกิน  สำหรับเราเขียนไป 2 หน้าค่ะ เขียนเสร็จแล้วก็ให้พี่ๆน้องๆที่รู้จักช่วยดูให้ ก็มีผิด มีคำแนะนำหลายอย่าง ก็กลับมาแก้กันหลายรอบอยู่ เพราะฉะนั้น ตัวนี้จะใช้เวลามากๆค่ะ เลยอยากให้เตรียมตัวตั้งแต่เนิ่นๆ อีกอย่างต้องนำไปให้อาจารย์ที่เราจะไปขอให้เขียนจดหมายแนะนำเราดูด้วยว่าเรามีแผนนจะเรียนสาขานี้  แบบนี้ บลาๆๆๆๆ
-          หนังสือแนะนำตัว อันนี้ก็ลำบากค่ะ ต้องกลับไปขออาจารย์ที่เราเคยเรียนด้วย และอาจต้องร่างจดหมายแนะนำ ไปให้อาจารย์ท่านดูก่อน ปัญหาที่สำคัญกว่าคือ  อาจารย์ที่คณะที่เราจบมาหรืออาจารย์ที่รู้จักเราอาจไม่ได้เป็น รศ. เลยทำให้หา รศ. ไม่ถึง 2 ท่าน ทำไงดีล่ะสำหรับเราเองก็ไม่ได้เป็น รศ.ทั้ง 2 ท่าน  ที่ส่งไปเป็น รศ. 1 ท่าน (อาจารย์สมัจป.โท)  และ ผศ. 1 ท่าน แต่ ผศ.ท่านนี้เป็น advisor สมัย ป.ตรี  ตรงนี้จากประสบการณ์ที่เคยค้นคว้าข้อมูลของคนก่อนๆที่เคยได้ทุน บางคนก็ไม่ได้ส่ง รศ. ทั้ง 2 ท่าน ก็จะเคสคล้ายๆกัน ทางจีนก็ไม่ได้ว่าอะไรนะคะ  สรุปก็ได้ทุนค่ะ เลยสรุปเอาเองว่าไม่จำเป็นถึงขั้นต้องไปวิ่งหา รศ.ให้ครบ 2 ท่าน โดยที่อาจารย์เหล่านั้นไม่รู้จักหรือสอนเราจริงแล้วไปให้ท่านแนะนำให้ก็จะแปลกๆ เนอะ ขอให้เป็นอาจารย์ที่รู้จักเราจริง มีคุณวุฒิและสอนตรงกับสาขาที่เราสมัครก็ได้ค่ะ
        อีกอย่างเรื่องของเวลาก็สำคัญค่ะ อยากให้เผื่อเวลาพอสมควรค่ะไม่ใช่ไปหาท่านตอนใกล้ๆวันจะส่ง บรรดาอาจารย์เค้าก็จะยุ่งๆกันพอสมควรนะคะ เห็นใจท่านค่ะ แล้วอย่าลืมนำ Study plan และ/หรือ Research plan ติดไปให้อาจารย์ท่านดูด้วยนะคะ จะได้รู้แนวคิดเราและจะได้นำไปเป็นข้อมูลเขียนหนังสือแนะนำตัวให้เราได้ค่ะ
-          ผลการสอบภาษา เตรียมตัวอ่านเตรียมตัวสอบตั้งแต่เนิ่นๆเลย  เพราะบางอย่างมีรอบสอบและกว่าจะประกาศผลสอบใช้เวลาร่วม 40-50 วัน เดี๋ยวเอามาส่งพร้อมใบสมัครไม่ทัน สำหรับใครที่ได้สนใจเรียนเป็นภาษาจีน แต่ไม่มีความรู้พื้นฐานภาษาจีนเลย ก็ไม่จำเป็นต้องมีผล HSK (สำหรับสาขาที่ไม่ใช่ภาษาจีน ) ถ้าได้ทุนจริงๆ ทางจีนจะมีทุนให้เรียนภาษาจีนก่อน 1 ปีค่ะ ก่อนขึ้นชั้นปริญญา หลายคนยังไม่รู้ภาษาจีนกันสักตัว ก็ยังได้ทุนค่ะ
-          Curriculum vitae (CV)   ตรงนี้ทำเผื่อไว้ก็ดีค่ะ ผลการเรียน  ตลอดจนproject งานต่างๆ ที่เคยทำสมัยเครียน และใครที่ทำงานแล้ว หรือทำงานอยู่เช่นเรา ก็ใส่ผลการทำงานที่ผ่านมา ใบประกาศเกียรติคุณ ประกาศวิชาชีพที่อาจเกี่ยวข้องกับการเรียน ใส่ไปให้หมดค่ะ เป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณาเราค่ะ อาจจะได้เปรียบคู่แข่งคนอื่นก็ตรงนี้
-          ผลการตรวจร่างกาย  ส่วนมากจะยังไม่ขอค่ะ จะมีบางมหาวิทยาลัยจะขอเลย  ถ้ามหาวิทยาลัยทีเราเลือกสมัครไม่ยังไม่เอาผลตรวจร่างกายก็ยังไม่ต้องตรวจค่ะ เสียเวลา เสียค่าใช้จ่ายด้วย ไว้ค่อยไปตรวจทีเดียวหลังจากได้ทุนแล้ว (สำหรับการตรวจควรตรวจที่ร.พ รัฐบาลค่ะ เห็นหลายๆคนบอกว่าทางจีนยอมรับ ร.พ จุฬาเป็นส่วนใหญ่)  ค่าตรวจที่ร.พ รัฐก็จะไม่เกิน 1,500 บาท รายการตรวจก็จะเป็นไปตามแบบฟอร์ม Physical Examination Record for Foreigner ค่ะ ไปยื่นให้ ร.พ เค้าจะตรวจตามรายการในเอกสารเองคะ
-          Cover & Lists of documents คือ จดหมายนำส่งค่ะ เป็นทางการแปะหน้าเอกสารทั้งหมดที่เราส่งไป ควรมีชื่อที่อยู่ อีเมล เบอร์โทรเรา ให้ครบเพื่อการสะดวกของทางจีนในการติดต่อเรา  สำหรับ checklist คืออีกอย่างนึงที่บอกเค้าว่าทีเราส่งเอกสารไปน่ะ มีอะไรบ้างและมีอย่างละกี่หน้า 


**เคล็ดลับเล็กๆน้อยๆ** หากใครเตรียมจะยื่นหลายๆมหาวิทยาลัย เพื่อป้องกันการส่งเอกสารไม่ครบหรือง่ายต่อการเข้าถึงข้อมูล แนะนำให้ทำตารางใน Excel รวบรวมข้อมูลต่างๆไว้ ว่าแต่ละมหาวิทยาลัยต้องการเอกสารใดบ้าง ชื่อเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องกับการรับสมัคร ทั้งเบอร์โทร เบอร์แฟกซ์ email   ที่อยู่มหาวิทยาลัยสำหรับส่งเอกสาร  website มหาวิทยาลัย และที่สำคัญคือ deadline ส่งเอกสารการสมัครค่ะ  ซึ่งข้อมูลต่างๆเหล่านี้ จะแสดงอยู่ในเว็บไซต์ของแต่ละมหาวิทยาลัย ตอนเราเข้าไปเลือกเราอาจจะเก็บข้อมูลมาทีเดียวเลยเข้า excel ไว้ทีเดียวเลยก็ได้ค่ะ

พอแค่นี้ก่อนคะ คนอ่านคงเหนื่อยแล้ว เยอะแยะมากมายจริงๆ เห็นแล้วท้อ แต่จะบอกว่าอย่าเพิ่งท้อค่ะ เราเองก็เป็นแบบนี้แหละตอนทำเอกสาร แถมมาเริ่มเตรียมเอาตอนเดือนกุมภาพันธ์ และต้องส่งไปถึงเมืองจีนเดือนมีนาคม วุ่นวายมว้ากกกกกขนาดไหนลองคิดดู >,<

วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2558

เลือกมหาวิทยาลัยในจีน

สำหรับทุนCSC เป็นการสมัครผ่านมหาวิทยาลัยโดยตรง(ซึ่งหากผ่านการคัดเลือก มหาวิทยาลัยจะประสานงานกับ CSC เอง)โดยจะเปิดรับสมัครประมาณต้นปี และส่วนมากจะปิดรับสมัครปลายเดือนมีนาคม (ส่วนน้อยที่จะเปิดรับถึงเมษายน) เพราะฉะนั้น ใครที่คิดอยากจะขอทุนรัฐบาลจีนต้องเตรียมตัวตั้งแต่เนิ่นๆ ปลายปีก็เตรียมตัวเลือกมหาวิทยาลัย เก็บข้อมูลการเปิดสอนสาขาต่างๆว่าตรงที่เราต้องการ และดูช่วงเวลาเปิด-ปิดการรับสมัคร ซึ่งแต่ละมหาวิทยาลัยมีช่วงเวลาเปิด-ปิด ไม่เหมือนกัน เพื่อมีเวลาเตรียมเอกสารต่างๆตามที่มหาวิทยาลัยต้องการ จะได้ไม่ต้องรีบๆลนๆเหมือนเรา ที่มาเตรียมเมื่อกุมภาพันธ์แล้วซึ่งต้องทำให้เสร็จก่อนมีนาคม (ซึ่งเอกสารต้องถึงประเทศจีนภายใน 31 มีนาคม)  ไฟลนก้นเล้ยยยยยย 555

มหาวิทยาลัยในจีนที่อยู่ภายใต้ทุนCSC มีเป็นหลายร้อยมหาวิทยาลัย จะเลือกยังไงดีละ?

นี่คือรายชื่อมหาวิทยาลัยแยกตามมณฑล>> คลิ๊กที่นี่
โห เยอะแยะมากมายตาลาย แล้วจะเลือกยังไงล่ะ อันไหนมีที่เราอยากเรียน  มันมีวิธีหาที่ง่ายมว๊ากกกค่ะ มันจะมีให้คลิ๊กเลือกตามลิ้งค์นี้เลยค่ะ >> คลิ๊กที่นี่ ซึ่งจะมีให้เลือกเลยค่ะว่าจะเรียนต่อระดับไหน เรียนเป็นภาษาอะไร (อังกฤษ/จีน) มีทุนให้หรือเปล่า  สำหรับเรื่องของระยะเวลาเรียน และ เข้าเรียนเทอมไหน ก็ไม่ต้องเลือกก็ได้ค่ะ สำหรับช่อง Keyword ก็ใส่ไปสำหรับสาขาแต่ละคน เช่น Finance , Engineering , Economics เป็นต้น


ตัวอย่างของที่เราเลือกก็ตามนั้นค่ะ เป็นปริญญาเอก เลือกเรียนเป็นภาษาอังกฤษ และเป็นมหาวิทยาลัยที่มีทุนให้ สำหรับช่อง Keyword เราใส่คำว่า Finance จะปรากฎตามนี้ค่ะ


จะเห็นว่ามีสาขาวิชาที่เราต้องการเปิดสอนหรือเปล่า แต่ข้อควรระวังคือ อย่าดู deadline ส่งใบสมัครในคอลัมภ์สุดท้าย เชียวนะคะ อันนี้เชื่อถือไม่ได้ค่ะ ถ้ายึดตามนี้ พอดีส่งใบสมัครไปตอนเขาประกาศผลทุนแล้วค่ะ >,<  ซึ่งส่วนมากจะประกาศเดือนมิถุนายน - กรกฎาคม

เราสามารถคลิกเลือกตรงชื่อมหาวิทยาลัยซึ่งจะลิ้งค์ไปอีกหน้าที่มีรายละเอียดต่างๆ เช่นประวัติมหาวิทยาลัย มีสาขาอื่นอะไรอีกบ้างที่เปิดสอน มีนักศึกษากี่คน มีเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยที่เราสามารถลิ้งค์ไปได้โดยตรง ตัวอย่าง เช่น

ที่นี้เราก็เข้าไปดู website มหาวิทยาลัยได้เลยค่ะ ไปที่ส่วนของนักศึกษาต่างชาติ (International) ซึ่งจะเป็นภาษาอังกฤษ ไปหาข้อมูลมหาวิทยาลัยในส่วนของทุนได้เลยค่ะ ดูหลักสูตร ดูรายชื่อและผลงานอาจารย์ คุณสมบัติของนักศึกษา เอกสารประกอบการสมัคร สิ่งแวดล้อมของมหาวิทยาลัย ฯลฯ แต่ข้อเสียของหน้าภาษาอังกฤษคือ บางมหาวิทยาลัยจะไม่ค่อยอัพเดตข้อมูลใหม่ๆค่ะ เค้าจะอัพเดตหน้าที่เป็นภาษาจีนเยอะค่ะ ถ้าใครสามารถอ่านภาษาจีนได้ ก็ไปอ่านหน้าภาษาจีนเถอะค่ะจะดีกว่าเยอะมาก (ตรงนี้คนอ่านภาษาจีนไม่ออกจะแย่หน่อย)

ก็ทำแบบนี้อ่ะคะ เก็บข้อมูลหลายๆมหาวิทยาลัยเอาไว้ก่อน หากมีเยอะมากก็มาคัดเลือกทีหลังค่ะ ว่าเราอยากจะสมัครทีไหนกันแน่


มาขอทุนรัฐบาลจีนได้ยังไง

ก่อนอื่นขอออกตัวก่อนว่า ไม่ได้เป็นคนเก่งอะไรค่ะที่ได้ทุนจีน ทั้งภาษาอังกฤษก็ไม่ได้ดีเด่ ภาษาจีนได้นิดหน่อยเพราะเคยเรียนภาษาจีนเป็นวิชาโท สมัยปริญญาตรี เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว...ง้อววว จะมีอะไรเหลืออะไรอยู่ในหัวบ้าง 5555  แถมยังจบป.โทมาตั้งหลายปี เป็นพนักงานสถาบันการเงิน ความรู้เริ่มเลือนลางหายไปกับระยะเวลา สาขาที่จบก็จบสายศิลป์ (เศรษฐศาสตร์ / การเงิน)  ไม่มีโครงงานหรือผลวิจัยใดๆที่พอจะนำไปเขียนใน Proposal เหมือนเด็กสายวิทย์ได้เลย

...อ่านมาถึงตรงนี้แล้วใครที่ไม่รู้จะเริ่มยังไง หรือคิดว่าตัวเองคงไม่มีทางได้ทุนแน่ๆ น่าจะใจชื้นนะคะ เพราะเราเองก็เริ่มต้นจาก 0 และคว้าทุนมาได้ จริงๆก็ไม่เยอะอะไรแต่ต้องมีความอดทนและพยายามพอสมควรค่ะ...สู้ๆ

แล้วคิดยังไงถึงไปขอทุนรัฐบาลจีน??

สารภาพตามตรงว่า ทุนจีนไม่ได้อยู่ในหัวตั้งแต่แรกค่ะ ก็เข้าไปดูตามเว็บต่างๆพวกประกาศทุนเรียนฟรี ป.โท ป.เอก ต่างประเทศ ซึ่งส่วนมากจะเป็นทาง UK และยุโรป ก็มองๆไปเรื่อยๆ ระหว่างนั้นก็เตรียมตัวศึกษาภาษาอังกฤษ เพื่อจะไปสอบ IELTS ซึ่งเค้าก็เรียกคะแนนสูงพอสมควรเพื่อให้ได้รับทุนเข้าเรียนต่อ

และช่วงนั้นได้รู้จักกับเพื่อนในกรุปไลน์การศึกษา มีคนที่ได้ทุนทั้งของรัฐบาลญี่ปุ่น และรัฐบาลจีน ซึ่งกำลังศึกษาปริญญาเอกกันอยู่ ก็ได้รับการแชร์ประสบการณ์การขอทุนในเบื้องต้น และคิดว่าทุนในประเทศแถบเอเชียน่าจะง่ายกว่าทาง UK หรือยุโรป ซึ่งคะแนนภาษาอังกฤษที่เขาต้องการไม่ได้สูงมากด้วย ซึ่งน่าจะเข้าทางเด็กที่ไม่เก่งอังกฤษอย่างเรา ก็เลยหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตเพื่อศึกษาข้อมูลว่ามีประเทศในแถบเอเชียเปิดรับสมัครหรือยัง มีมหาวิทยาลัยไหนเปิดรับสาขาที่เราใกล้เคียงกับที่จบและเราอยากศึกษาต่อ 

...ค้นไปค้นไปค้นมาก็ได้ข้อสรุปว่า ประเทศที่น่าจะยื่นใบสมัครมากที่สุด คือ จีน และ ไต้หวัน เย้!!!
แล้วทำไมถึงเลือกประเทศจีนล่ะ ?? ง่ายๆ เลยคือ ไม่ทันกำหนดรับปิดรับสมัครของไต้หวันค่ะ ไต้หวันปิดรับสมัครสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ แต่จีนส่วนมากจะปิดรับมีนาคม เหตุผลง่ายๆ แค่นี้แล ไม่มีอะไรซับซ้อน 555...

เอวังด้วยประการละฉะนี้

วันพุธที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ทุนรัฐบาลจีน คืออะไร

ก่อนอื่น มาทำความรู้จักทุนรัฐบาลจีนกันก่อนค่ะ

ทุนรัฐบาลจีน หรือ "China Scholarship Council" ซึ่งพวกเรามักจะเรียกกันสั้นว่า ทุนCSC ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ทางรัฐบาลจีนจัดตั้งขึ้นสำหรับมอบทุนการศึกษาให้แก่นักเรียนต่างชาติจากทั่วโลกเพื่อมาศึกษาต่อยังประเทศจีน อยู่ภายใต้การดูแลและกำกับของกระทรวงศึกษาธิการจีน โดยทุนที่ทาง CSC มอบให้ก็มีหลายระดับ เช่น ทุนระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก  ทุนเรียนภาษา 1 ปี ฯลฯ โดยเว็บไซต์ทางการของทุนCSC ซึ่งใช้ในการหาข้อมูลต่างๆทุกอย่างรวมถึงกรอกใบสมัครทุน CSC คือ http://www.csc.edu.cn/laihua/scholarshipen.aspx

ทั้งนี้ ทุน CSC เป็นทุนที่แจกให้มากที่สุดของจีน ภายใต้ทุน CSC นี้ ประกอบไปด้วย 7 โปรแกรม ดังนี้
1. Bilateral Program
2. Chinese University Program
3. Great Wall Program
4. EU Program
5. AUN Program
6. PIF Program
7. WMO Program
รายละเอียดจะไม่กล่าวถึงลองไปอ่านลิ้งค์ที่ให้ไว้ดูนะคะ  ที่นักเรียนไทยเราสมัครๆกันได้ จะเป็นทุน Chinese University Program ซะเยอะ รองลงมาน่าจะเป็น AUN Program

นอกจากทุนCSC แล้ว ยังมีทุนต่างๆอีกมากมาย เช่นทุนมหาวิทยาลัย หรือ ทุนของรัฐบาลท้องถิ่น(ทุนของแต่ละมณทล) ให้กับนักเรียนต่างชาติ บางคนอาจจะสมัครทุนCSC ไปแต่ได้ทุนรัฐบาลท้องถิ่นหรือทุนมหาวิทยาลัยก็มี คิดว่าแล้วแต่อาจารย์หรือเจ้าหน้าที่รับสมัครจะจัดสรรให้ โดยทุนCSC /ทุนมหาวิทยาลัย /ทุนรัฐบาลท้องถิ่น จะมีทั้งแบบเต็มจำนวน (Full Scholarship)และแบบไม่เต็มจำนวน (Partial scholarship)

ทุนCSC แบบเต็มจำนวน ครอบคลุมอะไรบ้าง?
1. ค่าเล่าเรียน (รวมถึงค่าลงทะเบียนเรียน)
2. ที่พัก (อาจเป็นหอพักของมหาวิทยาลัย หรือ หอพักนอก ซึ่งcsc จะจ่ายให้ 1,000 หยวน)
3. ประกันภัยและประกันสุขภาพ
4. ค่าครองชีพ (เงินเดือน)
    ในปีการศึกษา 2558 รัฐบาลจีนได้มีการปรับเงินเดือนตามระดับดังนี้
ระดับปริญญาตรี 2,500 หยวน/เดือน (จากเดิม 1,400 หยวน/เดือน)
ระดับปริญญาโท 3,000 หยวน/เดือน (จากเดิม 1,700 หยวน/เดือน)
ระดับปริญญาเอก 3,500 หยวน/เดือน (จากเดิม 2,000 หยวน/เดือน)
5. ค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าหนังสือ ค่าห้องแล็ป ค่าเดินทางระหว่างเมือง เป็นต้น

จะเห็นว่าทุนCSC แบบเต็มจำนวนครอบคลุมทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการเรียน ยกเว้น ตั๋วเครื่องบิน ซึ่งลองรวมมูลค่าทุนแต่ละทุนก็ถือว่าไม่น้อยเลยทีเดียว สำหรับทุนแบบไม่เต็มจำนวน ก็อาจจะได้ไม่ครบทั้ง 5 ข้อข้างต้น ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะว่าได้อะไรบ้าง แต่ที่แน่ๆ ค่าเทอมและค่าครองชีพได้แน่นอนค่ะ แต่ค่าครองชีพอาจจะได้น้อยกว่าทุนแบบเต็มจำนวนค่ะ

ขอเพิ่มเติมเรื่องภาษาที่ใช้เรียนนิดนึงค่ะ  เนื่องจากมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ของจีนจะมีสอนทั้งที่เป็น สอนเป็นภาษาจีน (Chinese Taught program) และ สอนเป็นภาษาอังกฤษ (English Taught program) ให้แก่นักเรียนต่างชาติ ถ้าเลือกได้เรียนเป็นภาษาจีนก็ต้องมีระดับความรู้ภาษาจีนที่เรียกว่า  HSK (Hanyu Shuiping Kaoshi)  ถึงในระดับที่เพียงพอต่อการศึกษาต่อในระดับชั้นปริญญา แต่ถ้าใครไม่มี HSK หรือมีแต่ยังไม่เพียงพอที่ทางมหาวิทยาลัยจีนต้องการ ก็ต้องไปเรียนภาษาจีนเพิ่มเป็นระยะเวลา 1-2 ปี ก่อนที่จะขึ้นชั้นปริญญา (แล้วแต่สาขาที่เลือกเรียน แต่ส่วนมากสาขาทั่วไปจะเป็น 1 ปี)  ซึ่งในส่วนนี้ทางcsc ก็มีทุนให้ทุกอย่างเหมือนเรียนชั้นปริญญาเลยค่ะ (ดีก็ตรงนี้^^) สำหรับใครที่ต้องการเรียนเป็นภาษาอังกฤษก็ต้องมีผล IELTS หรือ TOEFL ตามที่มหาวิทยาลัยกำหนด


ตอนต่อไปจะไปดูกันว่ามีวิธีเลือกมหาวิทยาลัยที่จะสมัคร และขั้นตอนการเตรียมเอกสารการสมัครเป็นอย่างไรกันบ้างค่ะ

วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

หนีห่าววววววว

พิ่งเริ่มเขียน blog เป็นครั้งแรกค่ะ หลังจากที่ได้ทราบผลว่าได้ทุนรัฐบาลจีนสดๆร้อนๆ   
อยากจะแชร์ประสบการณ์ขั้นตอนการเตรียมข้อมูล เอกสารการสมัคร การส่งเอกสาร การขอวีซ่า การเตรียมตัว เตรียมใจ สำหรับการไปเรียนต่อ ฯลฯ  กลัวนานๆไปแล้วจะลืมเลยมาเขียน blog ไว้เพื่อเป็นประโยชน์กับอนุชนคนรุ่นหลัง เพราะเราเองก็ได้ข้อมูลต่างๆจากใน internet นี่แหละ เว็บ blog ของรุ่นที่ไปรุ่นก่อนๆบ้าง  Facebook บ้าง (โดยเฉพาะกลุ่ม Thai CSC)   Pantip บ้าง  website ต่างๆที่มีคนมาเขียนแชร์ไว้บ้าง หลายแหล่งปนๆกันไป …กราบขอบคุณเจ้าของข้อมูลต่างๆ มา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ…
ข้อมูลที่ได้มาก็จะเป็นข้อมูลเก่าใหม่ไม่เท่ากัน บางอย่างก็ต้องเอามาประยุกต์เอาค่ะ เลยลองมาทำ blog เป็นของตัวเองเพื่ออัพเดตข้อมูลให้ใหม่และเยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก็เลยจะพยายามรวบรวบข้อมูลที่เราใช้สมัครและข้อมูลที่หลายคนอาจจะสงสัย (เหมือนที่เราเคยสงสัยมาก่อน อิอิ)
สำหรับเรามีนามว่าฝนหรือเรนนี่ (ชื่อจีน ณ วันนี้ยังไม่มีฮ่ะ ถ้ามีแล้วจะมาอัพเดตในตอนถัดไป) ได้ทุนรัฐบาลจีน (CSC Scholarship) ประจำปี 2015 สำหรับเรียนต่อปริญญาเอกที่ Southwestern University of Finance and Economics เมืองเฉิงตู มณฑลเสฉวน ซึ่งอยู่ตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ใกล้ๆ 1 ใน 4 มหานครของจีน หรือ "ฉงชิ่ง" นั่นเองงงงงง
ปล.อาจจะเขียนไม่ค่อยเก่ง อ่านแล้วงงๆ ก็ขออภัยด้วยนะคะ จะพยายามทำให้อ่านรู้เรื่องให้มากที่สุด ^^